Popular Posts

Sunday, March 31, 2013

ทำธุรกิจร้านขายรองเท้าเเฟชั้น


ทำธุรกิจร้านขายรองเท้าเเฟชั้น
 
         เร็วๆนี้ผมซื้อ converse มาคู่นึงครับราคา 1050 บาทครับ ผมกะพี่เเกก็คงกำไร 200-300 บาทได้ มันเลยทำให้ผมชอบที่หาข้อมูลเกี่ยวกับรองเท่า converse เพราะ ชักชอบรองเท้ายี่ห้อนี้ขึ้นมาเเล้วครับ ก็เลยตามหาข้อมูลเเล้วไปเจอเวปไซต์ ก็เลยหาข้อมูลเเล้วก็สั่งมาอีก 2-3 คู่ได้ครับ เเต่ต้องยกเลิกครับ เพราะรุ่นที่ผมสั่งมันเป็น คอนเวิร์ส usa ปี 1980-90 ก็คือรุ่นที่ผลิตโดยใช้มือราคาปาไป 2800 อีกคู่ 3200 บาท เจอไป 6000 บาท ไม่ดีใหวครับเพราะเเพงเกิน ที่เราเนี่ยก็คือ
 
 
        อยากจะบอกถ้าท่านเลือกขาย พวกรองเท้าเเฟชั่นพวกนี้ ยังไงก็ขายได้ครับ ผมเจอเวปนึงขายเเต่คอนเวิร์ส usa พี่เเกก็ยังอยู่ได้เลยครับ เพราะของที่คนชอบๆ เนี่ยมักขาดเหตุผลในการตัดสินใจครับ การเปิดร้านขายรองเท้าคอนเวิร์สเนี่ยผมเเนะนำเปิดตามเวปรวมทั้งมีหน้าร้านจะเป็นอะไรที่ดีมากครับ การมีหน้าร้านคือทำให้ร้านเรามีความน่าเชื่อถือ เเละการมีเวปคือการตลาดให้ร้านค้าเราครับ เช่นมีของใหม่มา ราคาเท่าไหร่เเบบนี้มีสินค้าเหลืออยู่ที่ร้านเท่าไหร่ สีอะไรรุ่นอะไรผลิตเมื่อไหร่เป็นต้น
 
       ถ้าคุณเปิดร้านมีหน้าร้านอย่างเดียวเลย เเละคุณขายของเเท้ ราคาพอรับได้ กว่าที่ร้านคุณจะดังผมเดาว่าคุณคงปิดตัวไปเเล้ว เเต่ถ้าคุณมีเวปมันจะทำให้ร้านคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้นดีไม่ดี ถ้าคุณมีกำลังหน่อยอาจจะทำระบบซื้อขายในเน็ตด้วยเเล้ว อาจจะทำเงินให้คุณได้โดยที่ลูกค้าไม่ต้องมาที่ร้านเองเลย เช่นมีคลิปวีดีโอ สินค้าร้านของคุณ เเละสอนวิธีการวัดว่าเท้าคุณใส่ได้หรือเปล่าอะไรเเบบนี้จะเกิดความมั้นใจในการซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ได้ด้วยครับ เเละมีวิธีการคืนสินค้าอยางมีประสิทธิภาพด้วยนะครับ เเต่การทำเเรกๆผมเเนะนำทำเวปกระจอกๆไปก่อนก็ได้ครับ เเค่มีรูปสินค้าเบอร์ติดต่อก่อนก็ได้ครับ เอาให้เป็นที่รู้จักก่อนเเล้วถ้ารายได้อยู่ตัวค่อยขยับขยายครับ

เปิดร้านขายน้ำอัดลมริมถนน


เปิดร้านขายน้ำอัดลมริมถนน
 
      ใช่ครับน้ำอัดลมอย่างเดียวเลย เเต่ีมีน้ำขวดเพิ่มมาด้วย ทำเป็นเล่นไปเห็นอย่างนี้กำไรดีนะครับ กำไรวันนึงหักเเล้ว 5-6 ร้อยบาทได้ไม่ได้โม้นะครับ เเม่เพื่อนผมมันไปขายหน้าโรงเรียนครับ เช้าเย็นนะครับ ได้กำไรวันละ 5-6 ร้อยบาทเเต่หน้าฝนนี่อาจจะได้น้อยหน่อยครับ พี่เเกขายใส่เเก้ว เเก้วละ 8 บาท อะ ซื้อขวด2ลิตรมา 32-38 บาท เอาเเยกเป็นเเก้วได้ 15 เเก้วอะคิดดูกำไรเเก้วละเท่าไหร่ คิดเอา 120 บาท เเล้ว
Photobucket
       ต้นทุน โค๊ก 2 ลิตร โลตัส ตีไป 40 บาทเลยอะ น้ำเเข็งหลอดเล็ก 20 บาท รวมเเล้ว 60 บาทขาย ได้กำไรครึ่งๆ เเล้วคิดดูครับ วันนึงขายได้เเน่ๆ 50-60 เเก้วนี่ยังไม่รวมน้ำขวดอีกนะครับขวดละ 6-8 บาทำไร 2 บาทได้ ขายตั้งเเต่เช้ายันเย็น ยังไงก็ขายได้ครับ เเต่ทำเลต้องดีหน่อยนะครับหลบฝนหลบเเดดได้ด้วยยิ่งดีครับ ต้นทุน ไม่มีอะไรมากครับ ค่าโต๊ะค่าเกาอี้ ค่าถังใส่น้ำเเข็ง 2-3 พันบาทเท่านั้นเองครับ
      เเต่ปัญหาก็คือถ้าเราตั้งหน้าโรงเรียนช่วงปิดเทอมประมาณปีนึง 3 เดือนนี้เเหละปัญหา อันนี้ก็ต้องคิดหนา้คิดหลังให้ดีครับ เเต่ถ้าอยู่ย่านชุมชนหน่อยลูกค้าเราจะเป็นอีกกลุ่มนึงที่ไม่ซื้อเเบบเเก้วละ 8 บาทเเน่ๆครับ เพราะพวกนี้ฉลาด ก็ต้องขายอย่างอื่นเเทน เช่น กาเเฟโบราณา
อะไรเเบบนี้เป็นต้นเดี๋ยวนี้ขายกันที่ 15 บาทกันเเล้วครับพี่น้อง เเต่ปัจจัยหลักๆก็มีเเค่นี้ครับ  คือ ทำเล ทำเล ทำเล ครับพี่น้อง ถ้าไปขายในป่าคงไม่มีคนซื้อเเน่ๆจริงหรือเปล่า สินค้าบางอย่างถ้าเราไม่ดีมาก เเต่ทำเลดีก็พอขาย เเต่ถ้าสินค้าเราดีจริงๆ ทำเล ไม่ค่อยดีก็ยังขายได้  ดังนั้น ทำเล คือตัวชี้วัดครับ

ข้อดีข้อเสียของการลดราคาสำหรับผู้บริโภค

ข้อดีข้อเสียของการลดราคาสำหรับผู้บริโภค


บทความจาก ผู้จัดการ

กลยุทธ์ทางการตลาด
 
กลับมาอีกแล้วสำหรับเทศกาลลดราคาสินค้าตอนกลางปีทั้งของกินของใช้ที่มักจะวนเวียนยั่วขาช้อปกันเป็นประจำ อย่างเดือนมิถุนายนที่ผ่านมางานลดราคาแบบยิ่งใหญ่ก็มีให้เลือกเยอะแยะจนไปไม่ถูกทั้งงานบิ๊กบึ้มอย่างงานสหพัฒน์กรุ๊ปแฟร์ ที่ขนกันมาลดแลกแจกแถมทำเอาสถานที่จัดงานแทบแตกหรือตอนนี้คนมีตังค์ก็แอบอมยิ้มกับเทศกาล End Of Season ของแบรนด์ต่างๆที่ลดล้างสต็อกกันไปเลย และตอนนี้ที่ขาช้อปขาลุยคงไม่พลาดก็คือมหกรรมลดราคาถึง 90% ณ สยามเซ็นเตอร์ ที่ขอลดสะบั้นก่อนปิดปรับปรุง ที่ทำให้นักช้อปตกตะลึงอึ้งปากค้างว่า โอ้แม่เจ้า อะไรจะลดกันปานนั้น
 
 ทั้งหลายทั้งปวงกับโปรโมชั่น ลด แ(ห)ลก แจก แถม ก็ถือเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างหนึ่งที่จัดมาเพื่อมากระตุ้นต่อมความอยากใช้เงินของคนบ้าช้อปทั้งหลาย โดยการลดราคาจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมส่งเสริมการขาย หรือ Sale Promotion เป็นการสร้างตัวกระตุ้นให้ผู้บริโภคมาซื้อสินค้า โดยส่วนมากก็มักจะพบเห็นได้อยู่ใน 3 รูปแบบได้แก่ แบบที่หนึ่ง การลดราคา อาจจะลดเป็นส่วนต่าง ลดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ตามแต่ หรืออาจเลขายไปเลยราคาเดียวเพื่อความไม่ยุ่งยาก แบบที่สอง การแจกคูปอง ส่วนลด สิทธิพิเศษต่างๆ เมื่อซื้อครบเท่านั้นเท่านี้ก็จะได้บัตรส่วนลดเพิ่มอีก และแบบที่สาม การจับคู่ซื้อให้ได้ราคาถูกกว่า หรือซื้อชิ้นแรกลด 10% ซื้อสองชิ้นลดเพิ่มเป็น 15%
 
ในปัจจุบันการลดราคามักจะเกิดขึ้นในห้างแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต (Hypermarket) มากที่สุด คือตามห้างค้าปลีกอย่างโลตัส บิ๊กซี ที่เป็นห้างขายสินค้าในชีวิตประจำวันซึ่งมีอัตราการแข่งขันค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงต้องลดราคาสินค้าบางอย่างเพื่อดึงลูกค้าให้ได้มากที่สุด ซึ่งแท้จริงแล้วที่เราเห็นว่าลดแล้วลดอีก มันเป็นเพียงกลยุทธ์ที่ว่าสินค้าจำเป็นลดราคาจริงๆแค่ไม่กี่ชนิดหรือลดก็ไม่ได้เยอะมากมาย แต่ลูกค้าไหนๆ ก็เสียเวลา เสียค่ารถมาซื้อแล้วก็เลยซื้อนู่นนี่พ่วงไปด้วย โดยที่ไม่รู้เลยว่าสินค้าที่ไม่ได้ลดเหล่านี้เค้าอาจจะแอบเพิ่มราคาขึ้นไปโดยที่ผู้บริโภคไม่รู้เลย


หลุมพรางลดราคา กับดักลวงผู้บริโภค
 
พฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคในยุคข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ เรื่องของความประหยัดคงต้องมาเป็นอันดับ 1 ดังนั้นการลดราคาจึงเป็นสิ่งดึงดูดใจผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ถือว่าเกมนี้ วิน-วิน ทั้งสองฝ่าย ผู้บริโภคได้ของถูกและผู้ผลิตได้ยอดขาย ซึ่งการจัดลดราคาก็ต้องเอาใจลูกค้ากันสุดฤทธิ์ เพื่อเรียกคนและแข่งขันกับผู้ผลิตรายอื่น ดังนั้นจึงต้อมยอมขึ้นป้ายเซลล์แบบสุดๆอย่างกับแจกฟรี แล้วการจัดลดราคาแบบนี้ผู้ผลิตจะขาดทุนจริงๆหรือไม่ ก็เป็นคำถามชวนคิดอยู่ไม่น้อย
 
“เรื่องของการขาดทุนไม่มีหรอก อาจจะแค่กำไรน้อยลง โดยเฉพาะ สินค้าอุปโภค สินค้าฟุ่มเฟือย พวกนี้ยิ่งไม่ขาดทุนเพราะราคาขายปกติ ส่วนบวกกำไรมัน100% อยู่แล้ว ต่อให้ลด 50% ก็ไม่มีทางขาดทุน พวกห้างร้านแบบนี้ถึงได้จัดลดราคากันบ่อยๆ อย่างพวกลดความอ้วน ราคาคอร์สละ 100,000 มาจัดโปรฯลดเหลือ 30,000-40,000 เค้าก็ยังได้กำไร แต่ถ้าไม่ลดเค้าก็ได้กำไรมหาศาลซึ่งตามหลักจริงๆแล้ว สินค้าควรได้กำไรแค่พอสมเหตุสมผล จะต้องไม่เกิน 30-35%”
 
กลวิธีในการจัดลดราคาที่จริงแล้วผู้ผลิตต่างหากที่เป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด เราที่เป็นผู้บริโภคตาดำๆก็เลยตกเป็นเหยื่อไปกันทั้งแถบ ส่วนผู้ผลิตก็นอนนับเงินอู้ฟู่สบายๆแบบเสือนอนกินตามที่นักวิชาการด้านการตลาดอย่าง ชลิต ลิมปนะเวช อธิบายให้เราเข้าใจ ซึ่งนอกเหนือไปจากกำไรที่ไม่ได้หดหายไปสักเท่าไหร่ อีกหนึ่งวิธีขายสินค้าอีกอย่างคือการแฝงตัวของสินค้าใหม่เข้ามาด้วย ดังที่ตามร้านค้าทั้งหลายบอกว่าลด 50% ลด 70% แต่ไม่ได้หมายความว่าจะลดทั้งร้าน ดังนั้นก็ต้องระมัดระวังให้ดี เวลาจ่ายตังค์จะได้ไม่ต้องตกใจหงายหลังกับสินค้าที่ไม่ได้ลดไปด้วย
“ช่วงการลดราคามันก็จะมี แฟคทอรี่ เซลล์ (Factory Sale) กับ ซีซัน เซลล์ (Season Sale) เป็นการระบายสินค้าที่เริ่มขายไม่ออกแล้ว เก่าแล้ว ตกรุ่นแล้วออกไป โดยเฉพาะพวกเสื้อผ้า สินค้าแฟชั่น ก็จะเอามาลด ขายเอากำไรนิดเดียว แต่เจ้าของก็จะใช้ช่องนี้แหละพ่วงสินค้าล็อตใหม่ไปด้วย และขายในราคาปกติ ไม่ลดราคา อย่างแต่ก่อน จิม ทอมป์สัน ปีหนึ่งจะมีลดครั้งเดียว จัดงานลดใหญ่โตเลยที่โรงแรม แต่มาเดี๋ยวนี้สองเดือนก็เอามาจัดลดราคากันแล้ว ผู้บริโภคที่ฉลาดก็จะรอมาซื้อกันในช่วงลดนี้

ส่วนเรื่องของการนำสินค้ามีตำหนิ มีปัญหาจากการผลิต เอามาลดราคาหรือเอามาปนขายก็มีอยู่บ้างสำหรับเจ้าของห้างร้านที่ไม่ซื่อสัตย์ แต่สินค้าที่ไม่น่าจะมีปัญหาตรงนี้คือพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะถ้ามันเสียแล้วก็ใช้ไม่ได้แล้ว ซึ่งพวกนี้จะไม่ค่อยลดราคามากนัก”

ลดแหลก หลอกให้ซื้อ สินค้าแบรนด์เนม
 
เครื่องอุปโภค บริโภคที่เราใช้ทั่วๆไป เวลาลดกันครั้งหนึ่งก็มีแต่คนต่างพากันไปซื้อมาเก็บกักตุน แต่อย่างสินค้าแบรนด์เนม มียี่ห้อต่างๆ ราคาแพงขนาดที่ว่าลดราคาแล้วก็ยังจัดว่าสูงอยู่ดีสำหรับคนหาเช้ากินค่ำ บางแบรนด์ก็เอะอะเดี๋ยวลด เดี๋ยวโละ แต่บางแบรนด์รอกันจนยานกว่าจะได้ลดทั้งทีหรือเด็ดสุดก็ไม่เคยคิดจะลดราคาเลย เหตุผลสำหรับเรื่องนี้มันเป็นเพราะอะไรนั้น ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย กูรูด้านการตลาดก็ชี้แจงแถลงไขว่าเพราะอาจทำให้เสียภาพลักษณ์ของแบรนด์สินค้านั้นได้
 
“ปกติแล้วแบรนด์ที่ลดก็จะเป็นแบรนด์ทั่วไป แบรนด์หรูๆ กลุ่ม Luxury เค้าจะไม่ลดกัน โดยเฉพาะพวกตัวคลาสสิคที่ไม่ว่ากี่ปีก็ราคาเท่าเดิม คือการลดราคาเนี่ยมันแบ่งกันตามระดับสินค้า แบรนด์หรูจะไม่ลดเลย แบรนด์กลางก็ลดบ้างอย่าง Paul Smith จะลดปีละสองครั้ง แล้วก็ส่วนลดก็ไม่มากมาย แต่แบรนด์ทั่วไปก็จะลดทุกครั้งที่จบซีซันก็ต้องโละของรุ่นเก่าออกไป ซึ่งเรื่องการลดราคานี่เป็นเรื่องปกติเป็นการเปิดของออกไปเพื่อเอารุ่นใหม่มาลง”
 
อีกหนึ่งข้อสังเกตคือการที่ร้านค้าตามห้างต่างๆ แปะป้ายว่าเซลล์ไว้และก็แปะค้างไว้อยู่อย่างนั้น เดินผ่านไปผ่านมากี่ครั้งก็ยังลดอยู่ แล้วทำไมไม่ทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นด้วยการปรับราคาลงเสียเลยล่ะ ธันยวัชร์ ก็อธิบายเพิ่มเติมว่านี่ก็ถือเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งในการขายเช่นกัน
 
“Discount Everyday มันก็เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งเพราะปกติแล้วคุณก็ไม่ซื้อจนกว่ามันจะลดใช่มั้ย ดังนั้นมันก็เป็นไปตามหลักจิตวิทยา ตั้งราคาไว้สูงๆ พอเอามาลดราคา คนเห็นว่ามันถูกก็จะซื้อ ซึ่งเดี๋ยวนี้มันจะมีกลยุทธ์อีกแบบหนึ่งคือการตั้งราคาถูกๆ ตัว 199, 299 แต่ใช้ดีไซน์เนอร์ดังๆมาออกแบบในราคาที่ไม่แพง เพราะการที่จะลดตลอดทั้งปี คนก็จะเริ่มมองแล้วว่าแบรนด์นี้มีปัญหาหรือเปล่า หรือเอาของเก่าเก็บมาขายหรือเปล่า”

ลงทุนเปิดร้านรับติดจานดาวเทียม


ลงทุนเปิดร้านรับติดจานดาวเทียม
 
     เมื่อก่อนซัก 10-15 ปีก่อนบ้านไหนมีจานดาวเทียมอยู่บนรังคา เเสดงว่าบ้านนั้นมีช่อง ubc ซึ่งสมัยนั้นเป็นอะไรที่ตลกมากที่ต้องเสียเงินจ่ายค่าดูรายการต่างๆสมัยนั้นยังไม่มีเน็ตใช้เท่าไหร่ ubc พี่เเก เเจกหนังสือรายการทุกเดือนถ้าจำไม่ผิด อย่างที่บอกถ้าบ้านใครติด ubc เปรียบเสมือน มี iphhone3g ยุคเเรก ๆ ก็หมายถึงมีเงินนั้นเองครับ หลังจาก มีการติดจาน ubc อีก 5-10 ปีก็ถึงยุคเคเบิลทีวี 50-60 ช่องอะไรของมันนี่เเหละ มีสาระไม่กี่ช่องเเต่ในยุคเเรกมี HBO ให้ดูด้วย เเละ บอลพรีเมียร สดด้วยพากษ์อังกฏษ mtv ก็มี
 
 
    ช่วงนั้นนับการติด เคเบิลทีวี ถือว่าเป็นยุคเเรกที่คนรับกันได้กับการจ่ายเงินค่าดูรายการต่างๆ เพราะสมัยนั้น ubc เริ่มเป็นที่นิยมเเต่คน คิดว่าเเพง เเต่ถ้าจ่ายเคเบิลรายเดือน รับได้กับเดือนละ 399 บาทพี่เเกมาติดให้ 1 จุดเสร็จเเล้วเราก็ให้ช่างเถือนมาเพิ่มให้เราได้ได้ทั้งบ้าน 3-4 เครื่องได้เลยสบายๆ ผมเดาว่ามีหลายคนที่ทำเเบบนี้ เเต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็ถึงจุดจบเคเบิลทีวี อันเนื่องจาก เเต่ละบ้านมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น อันนั้นได้เเก่ ค่าเน็ต อันนี้ผมถือว่า ยังไม่ใช่ตัวที่มาทำลายเคเบิล เเต่มีหลายบ้านอย่างบ้านผม เลือกที่ติดเน็ตเเทน เคเบิล เพราะยุคนั้น 2เมก 499 บาท ถ้าจำไม่ผิด เราคิดว่าดีกว่ามี เคเบิลก็เลยยกเลิกไปเเต่มาตอนนี้ ที่บ้านผมกับซื้อกล่องรับสัญญาน ถึง 2 กล่อง จำไม่ได้ว่าของเจ้าไหนเเต่ที่บ้านมี ก้างปลาด้วย
 
      ดังนั้น ถือว่าโชคดี ถามว่าทำไมถึง ติดกล่องรับสัญญานดาวเทียมก็เพระา ได้ยินมาว่าซื้อครั้งเดียวดูได้ตลอดชีพไม่ต้องเสียรายเดือนดังนั้น ถือว่าคุ้มไม่ต้องจ่ายรายเดือน ติดทีก็ 1500-2500 บาทได้ ใช้ประมาณ 6 เดือนคืนทุน เเต่รู้นะครับว่าไอ้พวกนี้ไม่ค่อยทนหรอก บางครั้งรายการบางตัวก็ถูกยกเลิกไปต้องไปซื้อีกกล่องนึง อย่างกล่อง GMM RS พวกนี้ค่อนข้างมีรายการดีๆ ให้ดูครบถ้วนเเต่ยังสู้ true ไม่ได้เเต่ก็ถือว่าน่าสนใจ
 
       กลับมาที่ เปิดร้านรับติดกล้องเเละจานดาวเทียม ผมว่าตอนนี้อยู่ในยุคเติมโตนะครับ ถ้าใครเปิดร้านรับติดตั้งผมว่าน่าสนใจครับ ไม่ต้องอะไรมากครับเปิดรับติดจานไปเลยครับ เเละเราไม่ติดให้เค้ารับเป็นเเทนจำหน่ายครับอย่างพี่ผมเนี่ยรับติดอยู่รายดีครับ ยิ่งมีบอลยูโรตอนนี้ยิ่งรายได้ดีครับ ขายได้วันละ 10 -15 กล่องรวมค่าติดตั้งเลย ก็คิดดูกำไรรวมค่าติดจานละ 500 อะครับ ช่วงยูโร ได้วันละ 3000-5000 อะครับ เเต่ตอนนี้เริ่มเงียบตกได้วันละ 1-2 ตัวครับ
 
 
    ถ้าคุณเปิดร้านปีนี้ผมว่ามีโอกาสทำเงินได้เรื่อยๆ 2-3 ปีครับดีไม่ดีถ้าโมเดลธุรกิจ เป็นเเบบซื้อกล่อง 2 ถูกกว่าเดิมนี่เราเสือนอนกินเลยนะครับ เช่น ถ้าท่านติดกล่องเเรกไป ใช้ไป 2 ปีพัง กล่องเเรกราคา 1500 บาทเฉพาะกล่อง กล่องที่สองซื้อเจ้าเดิมคิด 1000 บาท เเล้วท่านได้ส่วนเเบ่ง300-500 นี่ท่านสบายเลยนะครับ เเต่ที่ผมยกตัวอย่างนี้ยังไม่มีนะครับ เเต่ การตลาดในใจผมในการดึงลูกค้าให้ใช่กล่องตัวเอง อีกหน่อยบางรายการ นี่ต้องจ่ายเงินนะครับ กดระหัสเข้าไปดู เหมือน ธุรกิจเกมส์ 5555+

การลงทุนเปิดร้านขายน้ำพริก


การลงทุนเปิดร้านขายน้ำพริก
 
คุณพันตรี วิวัฒน์ วัย 41 ปีเศษ คือบุคคลที่ถูกเอ่ยถึงข้างต้น พื้นเพถิ่นฐานอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี อาชีพหลักจากอดีตถึงปัจจุบัน คือวิ่งรถรับซื้อผลไม้ตามสวน ก่อนนำไปส่งให้กับโรงงานแปรรูป แต่เนื่องจากผลไม้มักจะออกเป็นฤดู เมื่อถึงช่วงเวลานอกฤดูที่ผลไม้ออก เขาจึงมีเวลาว่างพอสมควร เลยอยากมองหางานสุจริตทำที่นำมาซึ่งเม็ดเงินอีกทางหนึ่ง

“ราวกลางปีที่แล้ว ผมเดินทางจากสุราษฎร์ฯ เข้ากรุงเทพฯ มาสมัครเรียนกับทางศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน 2 วิชาด้วยกัน คือ พริกแกงเพื่อการค้า และน้ำพริกกระปุก สูตรครูตุ๊ก ที่เลือกเรียน 2 วิชานี้เป็นเพราะคิดว่า ทุกวันนี้คนไม่ค่อยตำพริกแกงทานกันแล้ว” คุณพันตรี เริ่มต้นอย่างนั้น ก่อนบอกด้วยว่า เมื่อมีวิชาติดตัว ครั้นกลับถึงบ้าน จึงคิดออกมาเป็นการค้าขายทันที

“ช่วงนั้นที่สุราษฎร์ฯ มีงานฟู้ดส์ แฟร์ พอดี ผมเลยตัดสินใจทำน้ำพริกออกมาขายในรูปแบบขายส่งให้พ่อค้าคนกลางรับไปขาย ซึ่งทำออกมาหลายอย่าง ทั้ง ตาแดง แมงดา ปลาย่าง” ศิษย์เก่าศูนย์อาชีพฯ เล่าให้ฟังและว่า ความจริงเขาตั้งใจจะทำพริกแกงออกขาย แต่จากการวิเคราะห์ตลาดตามประสบการณ์ของเขา เห็นว่าน้ำพริกกระปุกน่าจะขายออกได้ง่ายและเร็วกว่าพริกแกง จึงหันเหความตั้งใจในที่สุด
คุณพันตรี บอกต่อว่า เงินลงทุนสำหรับอาชีพที่สองของเขาในครั้งนี้ มียอดค่าใช้จ่ายหลายหมื่นบาท ส่วนใหญ่หมดไปกับค่าอุปกรณ์ในการทำ อย่าง เครื่องบดอะลูมิเนียมตัวหนึ่งก็เป็นหมื่นแล้ว สนทนามาถึงตรงนี้มีข้อสังเกตเหตุใดจึงกล้าลงทุนขนาดนั้น เพราะเพิ่งผ่านการเรียนรู้วิชาการทำน้ำพริกมาได้แค่ไม่กี่วัน เจ้าของคำตอบ ยิ้มกว้างก่อนบอกสั้นๆ ว่า

“พอมีเงินทุนอยู่บ้าง…จึงอยากลองดู”
ถามถึงทีมงานที่ช่วยกันปรุงน้ำพริกกระปุกออกขาย คุณพันตรี บอกว่า มีตัวเขาและแฟนเป็นหลัก นอกนั้นเป็นคนในครอบครัวอีก 2-3 คน ส่วนวิธีการขาย เขาไม่มีหน้าร้านเป็นของตัวเอง เนื่องจากอาชีพหลักต้องวิ่งรถรับซื้อผลไม้ตามฤดูกาล จึงใช้วิธี “ฝากขาย” ในร้านค้าประเภท ร้านขายของชำ ร้านขายกับข้าว ตามหมู่บ้านต่างๆ ในเขตอำเภอพระแสง และอำเภอใกล้เคียง คิดราคาขายส่งทุกชนิดกระปุกละ 15 บาท โดยร้านค้าจะขายต่ออีกทอดในราคา 20-25 บาท

“น้ำพริกกระปุกของผมใช้ชื่อยี่ห้อว่า ปักษ์ใต้ ฟู้ดส์ แอนด์ ดริงก์ เพราะตั้งใจว่าในอนาคตอาจมีสินค้าอาหารประเภทอื่นออกมาจำหน่ายอีก และคิดว่าจะไปหาความรู้จากศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน เหมือนเดิม” คุณพันตรี ว่าให้ฟัง

จุดเด่นแตกต่าง
ใช้วัตถุดิบเกรดเอ
นึกสงสัยจึงถามไถ่ว่ายากเย็นแค่ไหน กับการนำสินค้า “หน้าใหม่” ไปฝากขายตามร้านค้าต่างๆ คุณพันตรี จึงเล่าให้ฟังว่า อาชีพเสริมของเขานั้น อาจเริ่มต้นในช่วงที่เศรษฐกิจบ้านเมืองตกต่ำ ดังนั้น การนำน้ำพริกกระปุกออกขายในราคาไม่ถึง 20 บาท ก็ใช่ว่าจะขายได้ง่ายนัก เพราะมีหลายร้านปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า ทุกวันนี้แม้แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปห่อละไม่ถึง 10 บาท ยังขายลำบากเลย
“ผมนำสินค้าไปฝากขายราว 50 ร้านค้า แต่มีปฏิเสธไม่รับไว้สัก 3-4 ร้านค้า ก็ถือว่าไม่เป็นไร อยู่ในเกณฑ์ที่พอใจรับได้ และช่วงออกมาแรกๆ ขอบอกเลยว่าขายดีมาก ผลิตสัปดาห์หนึ่งตกราว 100 กิโลกรัม เป็นอยู่อย่างนั้นหลายเดือน แต่ช่วงนี้คำสั่งซื้อเริ่มลดลงจึงผลิตออกมา แค่สัปดาห์ละ 2 วันคือเสาร์และอาทิตย์” คุณพันตรี บอกก่อนเผยด้วยว่า
“ลงทุนไป 50,000-60,000 บาท ขายไม่กี่เดือน คืนทุนแล้ว เพราะจนถึงทุกวันนี้วัตถุดิบที่ซื้อมาเก็บไว้ ยังมีใช้ได้อีกนาน และหากมีทีมงานมากพอในอนาคตอาจออกขายเองตามตลาดนัดรายรับน่าจะดีกว่านี้”
เกี่ยวกับคู่แข่งทางธุรกิจ ประเด็นนี้ คุณพันตรี บอกว่า มีคนทำน้ำพริกลักษณะคล้ายคลึงออกมาขายกันหลายเจ้า แต่ละรายจะมีจุดเด่น-จุดขายไม่เหมือนกัน ซึ่งน้ำพริกในแบบของเขานั้น เน้นการใช้วัตถุดิบจำพวก พริก หอม กระเทียม คุณภาพดีระดับเกรดเอ เนื่องจากอาชีพหลักของเขา คือการวิ่งรถรับซื้อผลไม้ตามสวน อาจได้เปรียบตรงรู้จักแหล่งซื้อวัตถุดิบที่มีคุณภาพ นอกจากนั้นแล้ว น้ำพริกของเขาจะไม่แช่อยู่ในร้านนานเกิน 1 สัปดาห์ ต้องมีทีมงานขับรถนำสินค้าไปเปลี่ยนหมุนเวียนตลอด
เมื่อถามถึงอุปสรรคปัญหาในการทำอาชีพนี้ ศิษย์เก่าศูนย์อาชีพฯ ท่านนี้ มีข้อมูลมาถ่ายทอดให้ฟังว่า หลังจากได้สูตรจากการอบรมมาแล้ว เขาเปลี่ยนสัดส่วนบางตัว เพื่อให้รสชาติถูกปากคนท้องถิ่นซึ่งรับประทานเผ็ดกันเก่ง ปรากฏว่าไม่มีปัญหาอะไร แต่เรื่องน่าหนักใจช่วงแรก เห็นจะได้แก่การเก็บรักษาวัตถุดิบ คือซื้อมะขามสดมาเก็บไว้ในตู้เย็นกว่า 200 กิโลกรัม ซึ่งเยอะเกินไป ใช้ไม่ทันกระทั่งขึ้นราหมด ต้องนำออกทิ้ง จึงโทรศัพท์ปรึกษากับ “ครูตุ๊ก” ปรากฏได้คำแนะนำที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทุกวันนี้ปัญหาจุกจิกจึงหมดไปแล้ว
“มติชน ก่อตั้งศูนย์อาชีพฯ นี้ขึ้นมา ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะได้ช่วยให้คนมีอาชีพ อย่างผม ซึ่งพอมีความรู้พื้นฐานด้านการทำอาหารอยู่บ้าง เมื่อได้ไปเข้าอบรมทำให้ได้รับความรู้อย่างละเอียดและเป็นระบบ กระทั่งเกิดความมั่นใจว่าสินค้าที่จะผลิตออกมาขายนั้นต้องมีคุณภาพระดับมืออาชีพ ขอให้ทีมงานทุกคนมุ่งมั่นทำหน้าที่นี้กันต่อไปนะครับ” คุณพันตรี ฝากทิ้งท้ายไว้อย่างนั้น
หรือหากท่านใดสนใจน้ำพริกกระปุก “ปักษ์ใต้ ฟู้ดส์ แอนด์ ดริงก์” ผลงานของศิษย์เก่าศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน คนขยันท่านนี้ ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ เลขที่ 12 หมู่ 2 ตำบลอิปัน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี 84210 โทรศัพท์ (087) 265-5599
ที่มา http://www.thaismefranchise.com/?p=248

การทำธุรกิจเปิดร้านขายชุดนักเรียน


การทำธุรกิจเปิดร้านขายชุดนักเรียน
     อยากจะบอกว่าชุดนักเรียนเนี่ยกำไรดีนะครับ คือถ้าต่อชิ้นได้กำไร 20-30% เนี่ยสบายเลยเพราะ มีทั้งกางเกง เสื้อ เข็มขัด ถุงเท้า รองเท้า อีก ทั้งตัวเลย 300-500 บาทได้ครับ รวมรองเท้าได้กำไรเเล้วเเน่ๆ 100-150 บาท ยิ่งเด็กเล็กๆเเล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้าทุกปี เเล้วเด็กมีกี่คนครับ มีเป็นพันคนได้เลย
ขอเเค่ 3-5 ร้อยคนก็อยู่ไ้ด้ทั้งปีเเล้วครับนอกจากนี้ยังไม่รวมเครื่องเเบบลูกเสืออีกนะครับ อันนี้หลายเงินเลย การเปิดร้านเครื่องเเต่งกายนักเรี่ยนเนี่ยทำเลต้องดีครับ เป็นไปได้ต้องเปิดในย่านชุมชน ครับ หรือหน้าโรงเรียนได้ยิ่งดีเลยครับควรลงทุนตรงจุดนี้ครับสำคัญเเละเสื้อผ้าเนี่ยเป็นไปได้ควรมีทุกขนาดครับ ตรงนี้สำคัญ มากครับ ยิ่งคุณลงทุนตรงนี้มากกำไรก็ได้เร็วขึ้นเพราะเด็กตัวไม่เท่ากันเเละ
อย่างที่บอกของพวกนี้เก็บไว้ได้ครับ ไม่เหมือนของกิน ขายไม่หมดปีนี้ก็ไปขายปีหน้าได้ครับไม่ต้องกลัวเลยครับตรงจุดนี้ ต้นทุนในการลงทุนนะครับประมาณ 2 เเสนบาทครับ ค่าสินค้า คือจัดใหญ่ๆไปเลยครับ ทั้งชุดนักเรียน นักศึกษา เเละควรตกเเต่งร้านนิดนึงครับเอาให้ทันสมัยหน่อยครับ ส่วนทำเลเช่าเอาก็ได้ครับสมัยนี้คงไม่มีใครโง่ซื้อเลยเเล้วครับ
เปิดขายติดตลาดเเล้วสบายเลย ขายได้เยอะเราก็รับของมาได้เยอะได้ส่วนลดเยอะอีกต่างหากเเละ สามารถเอาส่วนต่างมาลดราคาให้ลูกค้าได้จัดเป็นเเผนการตลาดอย่างนึง เเละเป็นการตลาดที่ดี่ที่สุดด้วยสำหรับการลดราคา

ธุรกิจเปิดร้านขายหมูกะทะ


ธุรกิจเปิดร้านขายหมูกะทะ
 
     การเปิดร้านขายหมูกะทะ เค้าว่ากำไรดีนะครับเพราะหมูกะทะเนี่ยมันเป็นการกระจายต้นทุนครับ อย่างเเถวบ้านผมคิดต่อหัวที่หัวละ 129 บาทครับ เเต่เครื่องดื่ม เเยกต่างหากครับ ถามว่าได้กำไรหรือเปล่าเค้าว่ากำไรดีครับเเต่คนต้องนั่งทุกโต๊ะนะครับ เเต่จะกี่รอบไม่รู้เเต่ถ้ามี 100 โต๊ะต้องได้ทุกโต๊ะเเหละอย่างน้อย 2 คนเค้าคำนวนค่าของประมาณนี้ครับ อย่างพวกหมูหมักอะไรพวกนี้ เค้าเก็บได้ครับ อย่าง 100 โต๊ะ โต๊ะละ 2 คนก็ 200  คูณ 129 ก็ได้เเล้ว 25800 บาท
      นี่ยังไม่รวมเครื่องดื่มอีกนะครับ ได้เเน่วันละ 3 หมื่นบาท กำไรต้องมี 8-9พันบาท หักค่าของอะไรเเล้วเเต่ในความจริงมันไม่ใช่ซิครับ มี 100 โต๊ะจะเต็มก็วันศุกร์-อาทิตย์ เท่านั้นเเหละครับ นอกนั้นเหลือครึ่งต่อครึ่งครับ เเต่อย่างเราก็กะของได้ครับเเต่ที่ทำเเล้วเจ๊งๆเนี่ย เพราะต้นทุนอย่างอื่นมันเเพงไงครับ ค่า cable ทีวี ค่าจ้างพนักงาน 100 โต๊ะต้องมี 10-16 คน ตีไปเดือนละ 6000 บาทอะ เท่าไหร่เเล้ว
     ดังนั้นถ้าจะทำหมูกะทะมีต้นทุนใหญ่ก็คือ ค่าจ้างพนักงาน กับ ค่าเช่าสถานที นี่เเหละครับ เเต่ในที่นี้ อาหารต้องหลากหลาย เเละน้ำจิ้ม ต้องอร่อยด้วยครับ ถ้า เรื่องอาหารไม่ผ่านก็ไม่ต้องคิดอย่างอื่นอีกเเล้วครับ อย่างเเถวบ้านผมนะครับ นอกจากพวกย่างๆเเล้วนะครับ ยังมี ไอติมขนมปัง พิซซ่า กุ้งอบวุ้นเส้นก็มี ส้มตำก็มี ขนมหวานก็มี เฟนฟรายก็มี เเม่เจ้า
    ร้านนี้นะครับวันปกติยังไม่เต็มเลยครับ เหลือครึ่งๆเลยเพราะ โรงเรียนอะไรพวกนี้มันอยู่ดึกไม่ได้ เเต่เป็นวันศุกร์ – อาทิตย์ ร้านนี้เเทบไม่มีโต๊ะให้นั่ง อย่างที่เ้ค้าทำกัน คือจ้างประจำพนักงานเเต่ครึ่งเดียวครับส่วนอีกครึ่งจ้างพม่าเอาครับ พวกนี้เอามาช่วงศุกร์- อาทิตย์ ครับ ทำไมถึง วันหยุดขายดีเพราะหมูกะทะเค้าขายกัน 17.00-  24.00 ดังนั้นถ้าวันปกติตอนเช้าก็ต้องไปเรียน ไปทำงานกันหมดไงครับพี่น้อง

เปิดร้านเขียงหมูกำไรดี


เปิดร้านเขียงหมูกำไรดี
 
   เเถวบ้านผมครับ เมื่อก่อนมีร้านขายหมูอยู่ร้านเดียวครับพี่เเกอย่างขายดีเลยเเบบว่าตอนเย็นก็ไปสั่งหมูเเละเอาไปส่งโรงเชือด เเละตอนเจ้าก็ไปเอาครับ พี่เเกจะเชือดให้เรา เเละ เเยกชิ้นให้เราครับเป็นชิ้นหลักๆ ส่วนพวกไส้อะไรพวกนี้พี่เเกก็เเยกใส่ถุงให้เราครับ อันนี้ผมไม่เเน่ใจนะครับพวกเลือดหมูนี่พี่เเกเก็บไว้เองครับ การขายหมูเนี่ยถามว่าทำไมถึงกำไรดีเพราะ หมูเเต่ละส่วนกำไรไม่เท่ากันครับ
   อย่างสันในสันนอกพวกนี้ราคาดีจะไปฟันกำไรจากตรงนี้เต็มๆครับ นอกจากนี้ หมูตัวนึงเราสามารถนำมาทำสินค้าอย่างอื่นได้อีกนะครับพวกหนังหมูนี่สามารถเอามาทำน้ำมันหมูได้ครับ เเละยังเอาไปทำ หนังหมูกรอบได้อีกครับ กำไรจะมาจากตรงนี้ด้วยครับ ถ้าขายตอนนี้ก็ยังกำไรนะครับ เพราะหมูเนี่ยเป็นอาหารหลักของคนไทยเราอยู่เเล้วครับ
   นอกจากนี้ตอนที่ไปสั่งเขียงหมูพี่เเกจะหันหมูให้เราเเละมีเศษหมูใช่หรือเปล่าครับที่ตัดวางไว้ข้างๆเขียงเนี่ยพี่เเกยังขายได้อีกนะครับพวกเศษเนื้อหมูเนี่ย ร้านขายของยังมาซื้อเลยครับ ชิ้นส่วนตรงนี้พี่เเกเอาไปทำหมูตุ๋นครับ รสชาติดีครับ เเต่ต้องตุ๋นนะครับไม่ตุ๋นนี่กินไม่ได้เลย ครับ
    เเต่ถ้าเอาความจริงเเล้วการขายหมูทุกวันนี้ถ้าขายธรรมดาหมู 1 ตัวไม่ค่อยได้กำไรมากมายครับ พี่เเกก็พยายามที่จะเเปรรูปเพื่อที่ขายได้กำไรมากขึ้นเช่น น้ำมันหมู เเก๊บหมูเป็นต้นครับ ต้นทุนในการเปิดร้านขายหมูไม่มากครับอันดับเเรกเลยท่านไปเรียนวิธีการหั่นหมูก่อนครับหั่นสวยมีผลต่อกำไรนะครับ
    ส่วนต้นทุนไม่มากนะครับควรเตรียมไว้ที่ 50000 บาทต่อวันครับ ถ้าขายหลายตัว เเต่ทุกวันนี้ขายวันละตัวก็เก่งเเล้วครับเพราะเดี๋ยวนี้คู่เเข่งเริ่มเยอะครับ เช่นใน super ก็มีเเยกชิ้นขายราคาไม่เเพงกว่ากันมากนักครับเเถมหั่นสวยอีกด้วยครับ ส่วนทำเลก็มีส่วนสำคัญนะครับไปเปิดเเถวตลาดหนะครับ เช่าเค้าเอาครับ สมัยนี้ยังไงก็ต้องเช่าครับเพราะ จะให้ไปเส้งนีคงไม่ใหวครับพี่น้อง

เเนวโน้มธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง


เเนวโน้มธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง
 
ในประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจ จะพบว่า ธุรกิจการก่อสร้างเป็นอีกภาคธุรกิจที่มีการกล่าวถึงว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งน่าจะจริง เพราะขณะนี้มีเสียงบ่นจากคนวงใน ทั้งรับเหมาก่อสร้าง ว่า งานก่อสร้างมีความล่าช้า ส่งมอบให้ลูกค้าไม่ทันตามกำหนด ซ้ำผู้ประกอบการบางรายต้องหาผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหม่เข้ามาสานต่องานก่อสร้าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ไม่เฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลาง แต่หากรวมถึงบิ๊กเนมอสังหาฯด้วย
 
ผลพวงที่เกิดจากปัญหาต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มจากปัจจัยแรงงานทั้งค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น จนเป็นเหตุผู้รับเหมาทิ้งงาน หรืองานก่อสร้างล่าช้านั้น จะเกิดขึ้นกับงานก่อสร้างเก่าที่มีการประมูลงานไว้ก่อนหน้า และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ผู้รับเหมาก่อสร้างอาจไม่ได้ประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นไว้ล่วงหน้า เมื่อค่าแรงปรับขึ้นตามการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำตามนโยบายของรัฐบาล
เมื่อค่าแรงคือต้นทุนจ่ายเป็นเงินสดทุกๆ 15 วัน ค่าแรงงานขึ้น 40% ทั้งยังโดนแบงก์บีบ รับเหมารายย่อยรับไม่ไหว ทางออกก็ต้องกลายเป็นรับเหมาช่วง หรือไม่ก็ต้องเลิกกิจการไปในที่สุด !!!!
อีกประเด็นที่เกิดขึ้นกับภาคการก่อสร้าง คือ การไหลกลับของแรงงานต่างด้าว รวมถึงงานก่อสร้าง หรืองานซ่อมแซมระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐที่เกิดจากวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ในปลายปีก่อน ทำให้ผู้รับเหมาก่อสร้างหันไปรับงานก่อสร้างของภาครัฐเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นประเด็นให้งานก่อสร้างอาคารของภาคเอกชนไม่ได้รับความสนใจน้อยลง
นอกจากนี้ยังพบว่า ปัจจุบันผู้รับเหมาก่อสร้างอาคารได้ขยายธุรกิจสู่การเป็นดีเวลลอปเปอร์เอง จากเดิมที่ดำเนินธุรกิจเพียงขาเดียวคือ ให้บริการรับเหมาก่อสร้าง เมื่อขยายฐานธุรกิจเพิ่มทำให้ต้องดูแลธุรกิจของตนเองก่อนเป็นลำดับต้นๆ ดังนั้นจะพบว่า ทางออกของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ดำเนินการกันอยู่ก็คือ ผูกติดกับผู้รับเหมาก่อสร้างในลักษณะคู่ค้า “คุณอยู่กับเรา…เราเติบโตไปด้วยกัน“ หรือไม่ก็จะมีบริษัทรับเหมาก่อสร้างในเครือของตนเอง
“ตอนนี้งานก่อสร้างมีเข้ามามากขึ้นกว่าปีก่อนๆ ปริมาณงานที่มีมากนี้อาจชดเชยกับค่าจ้างหรือต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ผมว่ามีงานก่อสร้างเข้าสู่ตลาดมากก็ดีกว่าไม่มีเลย ผู้รับเหมาคงไม่เดือดร้อนมากนัก” นายพลพัฒ กรรณสูต อดีตนายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ความเห็น พร้อมระบุว่า ปริมาณงานก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นมีทั้งงานซ่อมแซมงานก่อสร้างถนน สะพาน โรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงงานก่อสร้างในโครงการใหม่ๆ ของภาครัฐ และงานของภาคเอกชน
อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นของค่าแรงดังกล่าวรัฐบาลได้ประกาศเป็นนโยบายมานานแล้ว ดังนั้นภาคธุรกิจเองก็ต้องมีการปรับตัวหรือมีการเตรียมแผนการดำเนินธุรกิจรองรับเพื่อให้กระทบต่อต้นทุนให้น้อยที่สุด
 
ยอมให้รับเหมามีมาร์จิ้นเพิ่ม
ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับนายชัยรัตน์ ธรรมพีร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) ที่ระบุว่า จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นและแรงบีบของการแข่งขันของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ทำให้ผู้ที่อยู่รอดต้องเป็นผู้ที่มีความพร้อมจริงๆ และที่ผ่านมาบริษัทก็ได้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันมาต่อเนื่อง ทั้งการสร้างผลงาน การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาเทคนิคในการก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพ และให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด รวมถึงการดำเนินการด้านต้นทุนทางการเงิน หรือต้นทุนดอกเบี้ยกับธนาคารที่ปล่อยกู้ จากการสะสมผลงาน ประสบการณ์ รวมถึงผลประกอบการด้านกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้บริษัทลดแรงกดดันจากธนาคาร และในบางโครงการที่บริษัทเข้าร่วมประมูลและได้งานก่อสร้างมาโดยจำเป็นต้องมีแบงก์การันตี
ทั้งนี้ การปรับขึ้นของค่าแรงนั้นต่ำนั้น ส่งผลต่อต้นทุนรับเหมาก่อสร้างกว่า 10% และส่งผลต่อต้นทุนของดีเวลลอปเปอร์ไม่น้อยกว่า 7% ขณะเดียวกันนายชัยรัตน์ก็ยอมรับว่า งานก่อสร้างอาคารใหม่นั้นมีมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ได้หันไปลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ทำให้โอกาสในการเข้าประมูลงานของผู้รับเหมาก็มากขึ้นตาม
จากพิษต้นทุนรับเหมาก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นทำให้รับเหมาก่อสร้างที่อ่อนแอต้องออกจากระบบ ในทางกลับกันก็เป็นโอกาสของผู้รับเหมาที่แข็งแรง ประกอบกับผู้ประกอบการเจ้าของโครงการจะต้องก่อสร้างโครงการตามแผนงาน และในการก่อสร้างอาคารอาคารหนึ่งค่าก่อสร้างเป็น 70% ของต้นทุนในการพัฒนา ด้วยเหตนี้ ทำให้ผู้ประกอบการยอมจะให้ผู้รับเหมาก่อสร้างมีมาร์จิ้นเพิ่มขึ้น วอลุ่มในการพัฒนาก็เพิ่มขึ้นตาม กล่าวคือ มีการบวกต้นทุนเข้าไปในมูลค่างานก่อสร้างของโครงการนั้นๆ
ปัจจุบันพรีบิลท์มีงานในมือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงานเก่าประมาณ 2,400 ล้านบาท ที่เหลือเป็นงานใหม่ ซึ่งมีทั้งการก่อสร้างคอนโดมิเนียม ก่อสร้างและปรับปรุงโรงงาน อีกทั้งยังอยู่ในระหว่างการรอประมูลงานก่อสร้างใหม่อีกมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท รวมประมาณ 5-6 โครงการ มีทั้งโครงการประเภทคอนโดมิเนียม อาคารสำนักงานและโรงงาน ซึ่งเป็นงานทั้งในกทม.และต่างจังหวัดตามหัวเมืองท่องเที่ยว เช่น หัวหิน พัทยา เป็นต้น
ที่มา ส่อง! ธุรกิจรับเหมา ‘โอกาส’ ในวิกฤติค่าแรง : สกู๊ปพิเศษ อสังหาริมทรัพย์ : โดย … ปรียา เทศนอก
ที่มา http://www.komchadluek.net

การลงทุนเปิดร้านเป็นยี่ปั๊วขายส่ง


การลงทุนเปิดร้านเป็นยี่ปั๊วขายส่ง
 
   ยี่ปั๊วนี้มีข้อดีคือ สินค้าขายที่ละมากๆ เเต่กำไรที่ได้นั้นน้อยมากๆครับ อย่างร้าน โชว์ห่วยเนี่ยตอนนี้กำไรต่อชิ้นอยู่ที่ 15-20 % มีน้อยมากๆเเล้วครับที่จะกำไรต่อชิ้นสูงถึง 20%  อย่าง เลย์เนี่ย ห่อละ 10 บาทพี่เเกได้เกือบ 2 บาทครับเท่าที่ได้ยินมานะครับ เเต่กับ ยี่ปั๊ว เนี่ย สมัยนี้ยังได้อยู่นะครับ30-40% ยังพอทำได้ครับ เพราะอาศัย ขายต่อรายการปริมาณมากๆครับ พูดง่ายๆครับ ร้านค้าปลีกอย่าง โชว์ห่วยบางร้านไม่มียอดพอที่จะสั่งในปริมาณที่ผู้ผลิตกำหนดได้ครับ คือมีความเสีี่่ยงนั้นเองครับ
   ก็ยกตัวอย่าง เราจะเปิดร้านโชว์ห่วยใช้เปล่าครับคิดดูสินค้ากี่อย่างครับ ยกตัวอย่าง สมมุตินะครับ ขนมห่อห่อละ 10 บาทเนี่ย ต้องสั่งเป็น 200-300 ห่อเค้าถึงมาส่งให้ เเล้วเราจะใหวหรอครับ ทั้งร้านจะขายพวกนี้อย่างเดียวหมดเลยเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้น คนเปิดร้านค้าปลีกเนี่ยยังไงการปริหารทุนจึงเป็นอะไรที่สำคัญมากๆครับ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องพึ่ง พวกค้าส่งนั้นเองครับ เเต่ระยะหลังๆมานี้
    พวกยี่ปั๊วก็หายหน้าหายตาไปกันเยอะนะครับ เพราะการมาของ โมเดิร์นเทรดพวก 7-11 นั้นเองครับ ดังนั้นกลับกันว่าสมัยก่อนพวก โชว์ห่วยต้องมากราบให้ยี่ปั๊วส่งของให้ทำจำทั้งสด เพราะต้องง้อเเต่สมัยนี้ไม่ใช่เเล้วครับ ยิ่งการมาของพวก 7-11 พวกนี้ เเละพวกห้างโลตัส เเมคโค พวกนี้มาทำให้สถานการณ์ ของยีี่ปั๊ว ในพื้นที่หนักเข้าไปอีก
   จนพวกนี้ ต้องไปงอพวกโชว์ห่วยกันเลยทีเดียว ถามว่า สมัยนี้ธุรกิจเเบบนี้ยังทำได้หรือเปล่า ผมว่าทำได้นะครับเเต่ต้องดูด้วยครับว่า ในพื้นที่พี่น้อง เนี่ยมีอะไอ้พวกนี้เยอะเเค่ไหน ไอ้พวกนี้เเบบเป็น 2 ระดับ นะครับ อย่าง 7-11 เนี่ยยังไม่หนักเท่าไหร่เพราะพวกนี้กว่าจะมาตั้งต้นทุนค่าการตลาดมันสูงดังนั้นถ้าขายไม่ไดีพวกนี้ไม่มาครับ ถึงมาผมยังไงก็ยังอยู่ได้ครับ เเต่ที่หนักก็พวก โลตัส เเมคโคร พวกนี้นะครับ
    เพราะพวกนี้มันคล้ายๆยี่ปั่วในตัวมันเอง ต่างกันที่สินค้าบางรายการมันขายถูกกว่ายี่ปั่วอีกครับ ดังนั้นอันนี้คือตัวอันตรายของพวกยี่ปั๊วกันเลยทีเดียว ถามว่าสมัยนี้จะเปิดร้านเป็นยี่ปั๊วเนี่ยยากหรือเปล่าผมว่ายากมากครับ เพราะอะไร เพราะร้านค้าปลีกเค้ามียี่ปั๊วของตัวเองหมดเเล้วครับ ดีไม่ดีเปิดเป็นยี่ปั๊ว สู้เปิดเป็น โชว์ห่วย ยังมีโอกาสอยู่ได้มากกว่า

ทำธุรกิจร้านขายเครื่องปั้นดินเผาเเกะสลัก

ทำธุรกิจร้านขายเครื่องปั้นดินเผาเเกะสลัก

บทความจากผู้จัดการออนไลน์ 1 กันยายน 2553
 เกาะเกร็ดถือเป็นแหล่งขึ้นชื่อด้านการผลิตสินค้าหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งในอดีตเคยได้รับความนิยมสูงสุด แต่มาถึงปัจจุบัน คนใช้งานน้อยลง พร้อมกันนั้น ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยึดอาชีพช่างปั้นมายาวนานค่อยๆทยอยเลิกราไปตามวันเวลา และความนิยมอันเสื่อมถอย
       
 ความห่วยใยดังกล่าว จุดประการให้หนุ่มลูกหม้อที่เติบโตมากับเครื่องปั้นดินเผาเกาะเกร็ด ต้องการอนุรักษ์งานฝีมือไว้ให้ลูกหลาน ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ หันมาเอาดีทางด้านการทำเครื่องปั้นดินเผาแกะสลัก โดยเข้าไปขอความรู้จากผู้สูงอายุในชุมชน ก่อให้เกิดอาชีพที่นอกจากจะช่วยสืบสานเจตนารมณ์ของตนเองแล้ว ยังต่อยอดเป็นธุรกิจสร้างรายได้ให้ครอบครัว

นายสุชาติ กิ่งสดศรี ผู้ผู้ผลิตเครื่องปั้นดินเผาแกะสลัก เล่าว่า คลุกคลีอยู่กับเครื่องปั้นดินเผามาตั้งแต่เกิด ที่เกาะเกร็ด จ.นนทบุรี ทำให้เห็นกระบวนการทำงานทุกขั้นตอน จนกระทั่งเมื่อประมาณปี 2547 ตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อหันมาสานต่องานเครื่องปั้นดินเผาแกะสลัก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เป็นพนักงานกินเงินเดือน แต่ก็หาเวลาว่างทำงานอดิเรกทำเครื่องปั้นดินเผา ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการอนุรักษ์งานฝีมือนี้ไว้ให้ยาวนานที่สุด              ทั้งนี้ หนุ่มรุ่นใหม่ได้เพิ่มเติมความคิดสร้างสรรค์ นำการแกะสลักผสมผสมกับงานเครื่องปั้นดินเผาแบบโบราณ พร้อมกับประยุกต์เป็นเครื่องใช้ต่างๆ เช่น โคมไฟ ถ้วยกาแฟ ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้สปา ฯลฯ ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้า ขณะเดียวกันยังสร้างเอกลักษณ์เด่นประจำตัว

“ผมเห็นผู้ใหญ่ในเกาะเกร็ด ทำงานเครื่องปั้นดินเผามาตั้งแต่เด็ก ซึ่งรูปลักษณ์ก็ยังคงแบบเดิมๆ อย่าง กระถาง โอ่ง และผอบ ซึ่งเครื่องปั้นดินเผามีขั้นตอนการทำที่ค่อนข้างง่าย ในขณะที่เครื่องปั้นดินเผาแกะสลัก นับวันจะหาคนทำยาก เพราะผู้ที่มีฝีมือด้านนี้ต่างล้มหายตายจากกันไป ทำให้ผมเกรงว่างานเครื่องปั้นดินเผาแกะสลักจะสูญหายไป จึงตัดสินใจเข้าไปขอความรู้จากผู้ใหญ่ พร้อมกับฝึกฝนฝีมือเรื่อยมา อาศัยเวลาว่างจากงานประจำฝึกฝนทำเครื่องปั้นดินเผาแกะสลัก แล้วนำไปขายที่ท่าพระจันทร์ โดยระหว่างขายไป ก็จะแกะสลักไปด้วย ทำให้ลูกค้าชาวต่างชาติสนใจและอุดหนุนไปเป็นจำนวนมาก”

แต่ด้วยทำเลที่ไม่เอื้ออำนวย ถูกไล่ที่อยู่เป็นประจำ ทำให้ต้องย้ายมาขายที่เกาะเกร็ดบ้านเกิดแทน แม้ยอดขายจะไม่เทียบเท่าการขายที่ท่าพระจันทร์ แต่นายสุชาติ ก็ตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อมาทำเครื่องปั้นดินเผาแกะสลักอย่างจริงจัง หวังต้องการสืบสานงานหัตถกรรมดังกล่าว เมื่อปี พ.ศ.2547 ที่ผ่านมา

สำหรับการประสัมพันธ์ให้สินค้าเครื่องปั้นดินเผาแกะสลักให้เป็นที่รู้จัก เขาเผยว่า อาศัยหน่วยงานภาครัฐบาล ช่วยเหลือ ด้วยการสมัครเป็นสมาชิกของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เพราะเมื่อมีงานแสดงสินค้าตามที่ต่างๆ จะได้รับเลือกให้ไปแกะสลักเครื่องปั้นดินเผาโชว์ในงาน ทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักของทั้งคนไทยและต่างชาติ ซึ่งการไปทำให้ผู้เข้าชมงานเห็นขั้นตอนการทำเครื่องปั้นดินเผาแกะสลัก จะทำให้การตัดสินใจซื้อสินค้าได้มากขึ้น

จากการที่ได้ไปเปิดตลาดตามงานต่างๆ ของภาครัฐฯ ทำให้ผู้ที่พบเห็นสนใจติดต่อขอซื้อสินค้าในราคาส่ง เพื่อไปจำหน่ายที่เจเจ มอลล์ (JJ Mall) อีกต่อหนึ่ง รวมทั้งมีลูกค้าชาวญี่ปุ่นสั่งผลิตสินค้าประเภท เตาอโรม่า, ชุดกาแฟ, โคมไฟ และผอบขนาดเล็ก เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเครื่องปั้นดินเผาแบบเผาให้เกิดสีส้มธรรมดา และเผาให้เป็นสีดำ ที่ใช้เทคนิคการเผาแบบโบราณที่สืบทอดกันมายาวนานจากภูมิปัญญาชาวบ้าน ปราศจากการใส่สีหรือสารเคมีใดๆ

   ด้านกระบวนการผลิต นายสุชาติ เล่าว่า ออกแบบ รวมถึงปั้นและแกะสลักด้วยตัวเอง จากนั้น ว่าจ้างโรงงานเผาที่ได้มาตรฐาน ทำให้สินค้าเกิดการสูญเสียน้อยมาก ไม่เกิน 10% โดยต้องเผาที่อุณหภูมิสูงกว่า 900 องศาเซลเซียส
“ลวดลายที่ผมแกะสลักจะเน้นลายที่เป็นงานไทยๆ เช่น ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ลายบัว ลายกนก ประจำยาม และรักร้อย ซึ่งเป็นลวดลายที่คนส่วนใหญ่รู้จัก และนิยม ทำให้สินค้าขายง่ายขึ้น ซึ่งการแกะสลักลวดลายนั้น จุดแข็งอยู่ที่ความประณีต ความละเอียดอ่อน และความคมชัดของลวดลาย ซึ่งผมก็พยายามรักษามาตรฐานเหล่านี้ไว้ เพื่อทำให้สินค้าเครื่องปั้นดินเผาแกะสลักไม่สูญหายไปจากตลาด มีคนนิยมชื่นชอบไม่เสื่อมคลาย” นายสุชาติกล่าวทิ้งท้ายด้วยความภาคภูมิใจที่ได้อนุรักษ์งานฝีมือของบรรพบุรุษไว้ให้ลูกหลาน

ทำธุรกิจร้านขายสินค้าเเต่งผมธรรมชาติ


ทำธุรกิจร้านขายสินค้าเเต่งผมธรรมชาติ
 
สิ่งที่ธรรมชาติมอบให้แก่มวลมนุษยชาติ ก่อเกิดเป็นพืชพันธุ์ที่ช่วยทำให้มนุษย์มีสุขภาพ ทั้งภายในและภายนอก ซึ่งสิ่งอันล้ำค่านั้นคือ “สมุนไพร” ที่คนไทยคุ้นเคยมายาวนานถึงปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีมีความทันสมัยขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบรายหนึ่งคัดสรรเฉพาะคุณค่าบำรุงจากพืชพันธุ์สมุนไพร สู่ผลิตภัณฑ์ “ไบโอ-วูเมนส์” (Bio Woman) เริ่มเจาะตลาดขายตรง แต่ขณะนี้กลับโกอินเตอร์

นายวิเชษฐ์ วัฒนสกุลพงศ์ ประธานกรรมการบริษัท ไบโอ-วูเมนส์ จำกัด เล่าว่า ตนเองเป็นผู้หนึ่งที่เคยประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 จากธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ จึงคิดลดขนาดธุรกิจลง ด้วยการคิดสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืน และสามารถขายได้ทุกฤดูกาล แม้เศรษฐกิจไม่ดีก็ขายได้ นั่นคือ เครื่องสำอาง ที่เกี่ยวกับความสวยความงามของผู้หญิง ซึ่งนายวิเชษฐ์ ไม่มีความรู้ในเรื่องดังกล่าวเลย แต่ก็พยายามศึกษาหาวัตถุดิบที่ปลอดภัยมากที่สุด นั่นคือสมุนไพรไทย โดยดึงคุณค่าของสมุนไพรแต่ละชนิดออกมา สร้างเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่สกัดจากธรรมชาติครอบคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ภายใต้แบรนด์ Bio Woman
Treatment จากสาหร่ายสไปรูลินา สำหรับผมทำสี
“ในช่วงปี 2541 เราได้เริ่มก่อตั้งบริษัทฯ ขึ้น และการที่เราเป็นผลิตภัณฑ์น้องใหม่ในวงการเครื่องสำอาง ณ เวลานั้น ช่องทางการทำการตลาดจึงค่อนข้างยาก เราจึงมองไปที่การขายตรง ผ่านแคตตาล็อก เมื่อทำไปได้ประมาณ 2-3 ปี สินค้าเริ่มติดตลาด แต่หากทำการตลาดแบบขายตรงต่อไปธุรกิจอาจต้องปิดตัวลง เพราะต้นทุนหมดไปกับการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์จำนวนมหาศาล เพื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จัก จึงเปลี่ยนการทำตลาดมาวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า ที่นอกจากลูกค้าจะเห็นแบรนด์แล้ว ยังเป็นการยกระดับสินค้าได้อีกทางหนึ่ง แต่ในส่วนของลูกค้าที่เป็นสมาชิกจากการขายตรงที่มีอยู่ประมาณ 2,000-3,000 ราย ที่ส่วนใหญ่เป็นร้านเสริมสวยก็ยังไม่ทิ้ง มีการส่งสินค้าให้เหมือนเดิม”
ผลิตภัณฑ์จากน้ำมันมะพร้าวเพื่อการดูแลเส้นผม
สำหรับความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ Bio Woman จะเน้นการปรนนิบัติเส้นผม โดยเฉพาะผมทำสี, ผิวหน้า และผิวกาย ที่ผ่านกระบวนการศึกษาค้นคว้าวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านเครื่องสำอาง และผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร มานานกว่า 10 ปี รวมทั้งได้รับการยอมรับจากภาครัฐและเอกชน ว่าเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูง ผ่านกระบวนการตรวจวิเคราะห์จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ว่าปราศจากสารเคมีควบคุม และสารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหน้าและผิวพรรณ อีกทั้งยังผ่านกระบวนการผลิตจากโรงงานที่ได้รับมาตรฐานการผลิต GMP (Good Manufacturing Practice) จากคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงยังได้รับตราสัญลักษณ์สินค้าไทย (Thailand’s Brand) จากกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพและมาตรฐานได้
ผลิตภัณฑ์ย้อมผมสีสว่าง สูตรเพิ่มออกซิเจนให้ผมทำสี       ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ Bio Woman แบ่งเป็น กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม, สำหรับใบหน้า, สำหรับผิวกายและเรือนร่าง และกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลเป็นพิเศษ เช่น ผลิตภัณฑ์เพื่อทรวงอกสกัดจากกวาวเครือ ยาแคปซูลสมุนไพนกวาวเครือ ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน ซึ่งทุกผลิตภัณฑ์ล้วนใช้สารสกัดจากธรรมชาติ เช่น ไข่แดง เบียร์ โยเกิร์ต สาหร่ายทะเล คอลลาเจนจากปลาทะเล เป็นต้น และล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ O2 color lock Treatment สูตรเติมเต็มออกซิเจนให้แก่เส้นผม ด้วยสารสกัดจากคลอโรฟิลด์จากสไปรูน่า ช่วยบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะให้ชุ่มชื้น ผมเป็นประกายเงางาม เพื่อผมทำสีโดยเฉพาะ
ผลิตภัณฑ์ย้อมผมสีบลอนด์กลาง ประกายทอง สูตรเพิ่มออกซิเจนให้ผมทำสี
“จากคุณภาพของสินค้าที่รับการยอมรับจากผู้บริโภคมาประมาณ 12 ปี ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตราเติบโตทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2552 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตประมาณ 20% ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายการขายที่ตั้งไว้ แม้จะสวนทางกับสภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการขยายตลาดไปในต่างประเทศด้วย เช่น ประเทศในแถบยุโรป, แอฟริกา, ตะวันออกลาง และเอเชีย โดยล่าสุดกำลังเจรจาซื้อขายสินค้ากับประเทศเยเมน ซึ่งคาดว่ายอดขายโดยรวมในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าที่ได้คาดการณ์ไว้ที่ 350 ล้านบาท”
คอนดิชันเนอร์บำรุงเส้นผม จากน้ำมันมะพร้าว
ส่วนแผนธุรกิจในอนาคตจะมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทั้งในส่วนของการเพิ่มไลน์สินค้า การพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้มีนวัตกรรมใหม่ๆ และสร้างความแตกต่างทางด้าน Packaging Design ในขณะที่การเพิ่มช่องทางจำหน่าน ที่ปัจจุบันได้วางจำหน่ายที่โมเดิร์น เทรด เช่น ห้างเดอะมอลล์, ท็อปซูเปอร์มาร์เก็ต, บิ๊กซี, จัสโก้ และคาร์ฟู รวมถึงร้านจำหน่ายเครื่องสำอาง และ Direct Shop ทั้ง กทม. และต่างจังหวัดกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศแล้ว ยังจะขยายสินค้าไปยังช่องทางใหม่ๆ อีกด้วย เช่น ร้านขายยา ร้านเสริมสวย ตลาดออนไลน์แบบอีคอมเมิร์ช ให้มากขึ้นอีกด้วย
ที่มา 0-2935-1220 หรือที่ www.biowoman.co.th

เปิดร้านขายเต้าหู้ดำทรงเครื่อง


เปิดร้านขายเต้าหู้ดำทรงเครื่อง
 
   ถ้าเอ่ยถึง “เต้าหู้” อาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นทางเลือกของคนหลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ สูตรการทำเต้าหู้ ของแต่ละแห่งแตกต่างกันออกไปแต่ถ้ามีโอกาสเดินทางไป ยังอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี แล้วละก็ สิ่งที่หลายคนต้องซื้อติดไม้ติดมือ กลับมาเป็นของฝากคนทางบ้าน นอกจากของดีต่างๆ ที่มีมากมาย ในวันนี้ หลายคนต้องนึกถึง “เต้าหู้ดำ” ของดีที่มีเพียงแห่งเดียวของเมืองไทย


นางเซี่ยมจู แซ่ฉั่ว แม่เล็กเจ้าของสูตร
สำหรับสูตรต้นตำรับ ก็ต้องยกให้กับ “เต้าหู้ดำแม่เล็ก” เรียกได้ว่า ถ้ามาโพธาราม และถามหาเต้าหู้ดำแม่เล็ก คนทั้งตลาดรู้จักกันดี และบอกทางไปซื้อได้แบบไม่ต้องกลัวหลงทางแต่อย่างใด ปัจจุบัน เต้าหู้ดำของโพธาราม นั่นมีให้เลือกชิมกันเพียง 2 ราย เท่านั้น และก็ไม่ใช่ใครที่ไหนก็เป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน แต่ถ้าเป็นช่วงเทศกาลกินเจก็อาจจะได้เห็นหน้าใหม่มือสมัครเล่นออกมาขายกันอยู่หลายราย
เต้าหู้นำมาต้มได้ประมาณ 1-2 วัน
นางเซี่ยมจู แซ่ฉั่ว หรือ แม่เล็ก เจ้าของสูตรเต้าหู้ดำของโพธาราม เล่าว่า ที่มาของเต้าหู้ดำเกิดขึ้นมาจากเดิม มีพ่อค้าในตลาด ทำเต้าหู้ดำขายมาก่อน แต่เขาต้องการเลิกกิจการ ในสมัยนั้นประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา ตนเอง มีอาชีพขายถุงงอก เต้าหู้ เส้นก๋วยเตี๋ยว อยู่ในตลาดเช่นกัน และเห็นว่า เราก็ขายเต้าหู้อยู่แล้ว ก็เลยลองนำสูตรเต้าหู้ดำของพ่อค้าคนก่อนมาลองทำขาย เพราะเห็นว่าไม่มีใครทำ ซึ่งก็ไม่ได้ขายดีอะไร แค่พอขายได้ แต่อาศัยว่า เราทำเพียงรายเดียว จึงได้ทำต่อมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีลูกชาย คือ “นายณรงค์ สุธีพงศ์สิทธิ์” มารับช่วง ทำหน้าที่สำคัญนี้ต่อ
ด้านนายณรงค์ เล่าว่า สำหรับสูตรการต้มเต้าหู้ดำนั้น เป็นสูตรที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากแม่เล็ก โดยไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนอะไร โดยตนเอง จะทำหน้าที่ต้มเต้าหู้ดำช่วยแม่เล็ก มาตั้งแต่ต้น ดังนั้นสูตรต่างจึงเป็นสูตรดั้งเดิม โดยส่วนผสมที่ใช้ประกอบไปด้วย ผงพะโล้ และน้ำตาลทราย เกลือทะเล อบเชย โป๊ยกั๊ก ซึ่งเทคนิคการต้มอยู่ที่การใช้ไฟปานกลางและใช้เวลาในการต้มนานถึง 3 วัน โดยจะไม่มีการใส่สารกันบูดแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญของเต้าหูดำ แม่เล็ก คือ การเลือกเต้าหู้คุณภาพดีจากโรงงานที่สั่งซื้อเป็นประจำ เพราะเป็นเต้าหู้ที่ใช้ถั่วเหลือง 100% ไม่มีส่วนผสมของแป้ง เหมือนกับโรงงานเต้าหู้อื่นๆ ซึ่งที่ผ่านมา เคยมีโรงงานเต้าหู้หลายแห่ง เคยทดลองนำเต้าหู้มาให้เราทดลองต้ม แต่ก็ไม่ได้รสชาติอย่างที่ต้องการ ต้องเปลี่ยนมาใช้เต้าหู้รายเดิม แม้ว่าเต้าหู้แผ่นจะเล็กกว่าโรงงานอื่นๆ แต่ได้เต้าหู้ดำที่มีรสชาติที่ต้องการ
เต้าหู้ต้มนาน 3 วันพร้อมขาย
ส่วนรสชาติของเต้าหู้ดำ จะออกหวานเค็ม เหมือนกับพะโล้ สามารถกินเปล่าได้เลย หรือ ถ้าต้องการนำไปปรุงอาหารเพิ่มก็ได้ โดยทางร้านมีเมนูแนะนำให้แก่ลูกค้า ได้แก่ ยำเต้าหู้ดำ เต้าหู้ดำผัดกระเพรา แกงป่าเต้าหู้ดำ เต้าหู้ดำผัดถั่วงอก และพะโล้ ลูกค้าบางคนก็ขอน้ำที่ต้มเต้าหู้ เพื่อนำกลับไปทำพะโล้ โดยทางร้านก็ไม่ห่วงถ้าลูกค้าอยากได้น้ำ เพราะน้ำที่เหลือไม่ได้นำไปต้มต่อ เพราะทำให้รสชาติของเต้าหู้ดำเปลี่ยนไปจากสูตรดั้งเดิม การทำแต่ละครั้งปรุงรสและทำน้ำใหม่ทุกครั้ง
เมนูแนะนำของทางร้าน
ทั้งนี้ แต่เดิมทำขายและเป็นที่รู้จักเฉพาะในจังหวัดราชบุรี และใกล้เคียง แต่หลังจากที่มีรายการโทรทัศน์ และนิตยสารและหนังสือ รวมถึงทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)ได้นำเรื่องราวเต้าหู้ดำไปนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ และพานักท่องเที่ยวมาซื้อที่ร้าน ทำให้ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เต้าหู้ดำของร้านแม่เล็กกลับมาขายดีเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว จากเดิมวันละ 50-100 ก้อนกลายเป็นวันละ 200 – 300 ก้อน สำหรับวันธรรมดา และถ้าเป็นวันหยุดพิเศษ ก็ขายได้มากถึง 500 – 700 ก้อน และถ้าเป็นช่วงเทศกาลกินเจ 4-5 วัน สามารถขายเต้าหู้ได้มากถึง 20,000-30,000 ก้อน เลยทีเดียว
โดยลูกค้ามาจากต่างจังหวัดในหลายพื้นที่ ส่วนหนึ่งเกิดมาจากการบอกกันแบบปากต่อปาก เมื่อมาท่องเที่ยวและผ่านมาทางอำเภอโพธาราม ก็จะแวะซื้อเป็นของฝากกลับไปรับประทานที่บ้าน โดยอายุการเก็บรักษาใส่ตู้เย็นสามารถเก็บได้นานถึง 10 วัน ส่วนถ้าอยู่ข้างนอกเหมือนกับอาหารทั่วไป อยู่ได้ 1-2 วันเท่านั้น ส่วนราคาขายแผ่นละ 16 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ปรับขึ้น ตามราคาเต้าหู้และต้นทุน การผลิตที่เพิ่มขึ้น ทั้งส่วนผสมและราคาก๊าซหุงต้ม และถ่านที่เพิ่มขึ้น ทางร้านจะเปิดขายกันตั้งแต่ 6 โมงเช้าไปจนถึง 3 ทุ่ม รอเวลาให้กับลูกค้าที่เดินทางมาไกล และตั้งใจมาซื้อเต้าหู้ดำก็จะได้กลับไป
โทร.032-231-429
ขอบคุณบทความจาก http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9550000100331